การคำนวณค่า BMI รายละเอียด : คำนวณหาค่า BMI วัดความอ้วน เพื่อประเมินหาไขมันส่วนเกินในร่างกาย เพื่อคำนวณความเสี่ยงในการเป็นโรค ข้อมูลเพิ่มเติม : Body Mass Index (BMI) คือ ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว / ความสูง ยกกำลังสอง ความสำคัญของการรู้ค่าดัชนีมวลร่างกาย เพื่อประเมินหาส่วนไขมันในร่างกาย ซึ่งค่าดังกล่าวนิยมใช้ในการคำนวณอย่าง แพร่หลาย เนื่องจากคำนวณง่าย และสามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติ ประโยชน์ใช้เพื่อดูอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ถ้าค่าที่คำนวนได้ มากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้าเป็นโรคอ้วนแล้ว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคนิ่วในถุงน้ำดี แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ผอมเกินไป ก็จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง ดังนั้นควรรักษาระดับน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ | ||
.................................................................................................................................... | ||
สาวคนไหนที่อยากแต่งหน้าแนวแอ๊บแบ๊ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเทคนิคมาบอก - ก่อนแต่งหน้าควรทามอยซ์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้าทุกครั้ง ทิ้งไว้ 10 นาทีให้ครีมบำรุงซึมซาบเข้าสู่ผิวก่อนจะเริ่มแต่งหน้า - ทาแป้งฝุ่นอัดแข็งเนื้อบางเบา โดยเลือกเนื้อแป้งที่สีกลมกลืนกับผิว อย่าพยายามใช้โทนสีขาวที่อ่อนกว่าผิวจริงมาก เพราะจะทำให้หน้าวอก - ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีชมพูหรือสีพีช โดยเน้นปัดที่โหนกแก้ม ไล้จากขอบหน้ามาถึงประมาณกลางลูกตาดำ แล้วปัดวนเป็นวงกลมๆ จะช่วยให้ใบหน้าดูมีเลือดฝาด สุขภาพดี มีเสน่ห์ น่าหอม - ทาอายชาโดว์สีน้ำตาลอ่อนเมทาลิคหรือสีเบจเป็นสีพื้นให้ทั่วเปลือกตา - เขียนขอบตาให้คมชัด โดยใช้ดินสอเขียนขอบตาสีน้ำตาลหรือดำ วาดจากหัวตาไปจนถึงหางตา แล้วตวัดปลายชี้ขึ้นเล็กน้อย - ดัดขนตา ซึ่งต้องดัดตั้งแต่โคนขนตาขึ้นไปกลางขนตา และก็ดัดที่ปลายขนตา แล้วปัดมาสคาร่าชนิดเพิ่มความหนาและความยาว - ทาริมฝีปากด้วยลิปปาล์มเพิ่มความชุ่มชื้น แล้วทับด้วยลิปกลอสหรือลิปเจลสีชมพูอ่อนๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถแต่งหน้าออกมาในแบบแอ๊บแบ๊ว น่ารักได้แล้ว.
10 ท่าเพื่อหุ่นสวย สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ ![]() 1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง 2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย 3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา 4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน 5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง 6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ 7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง 8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา 9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา 10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู. ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ |
วิธีบริหารสะโพกให้ลดลง
ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิก การวิ่ง ปั่นจักรยาน การบริหารเฉพาะส่วน ฯลฯ เป็นวิธีที่ช่วยให้สะโพกสวย แน่น และกระชับมากขึ้น คนอ้วน หรือผอมก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ ![]() การนวดมีประโยชน์มากกับขาช่วงต้นขาด้านบน ด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะช่วงต่อจากก้นลงมา เพราะถ้าบริเวณนี้มีไขมันมากจะทำให้สะโพกห้อยและย้อยได้ นอกจากนี้การนวดยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งกำจัดของเสียและไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังด้วย สำหรับการนวดที่ดีคือ ให้ใช้ครีมที่ใช้ขจัดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนวด ควรเป็นตอนก่อนนอน หลังอาบน้ำในตอนเช้า หรือก่อนทานอาหารหนึ่งชั่วโมง ควรใช้ครีมนวดติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ถ้าใช้ ๆ หยุด ๆ จะไม่เห็นผล และหยุดใช้ครีมนวดทันทีถ้าเกิดอาการแพ้ การขัดผิว จะช่วยในเรื่องของการแตกลาย จุดด่างดำ ผดผื่นแดง และรอยหยาบกร้านให้หมดไป สามารถขัดผิวได้ด้วยตัวเองโดยใช้น้ำมันขัดผิวที่ทำขึ้นเองแบบง่าย ๆ และประหยัด โดยนำเกลือเม็ดใส่ลงในขวด กะปริมาณตามที่ต้องการใช้ จากนั้นเติมน้ำมันมะกอกลงไป สังเกตุให้เกลือดูดซึมน้ำมันจนหมดอย่าให้แห้ง หรือเปียกเกินไป เติมน้ำหอมกลิ่นที่ชอบลงไปสัก 2-3 หยด จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะที่ขัดผิวให้ขัดเป็นวงกลมในบริเวณที่เกิดรอยหยาบกร้าน ถ้าอยากมีสะโพกที่ดูดี ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้. ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ |
วันนี้มีท่าในการลดพุงของคุณมาให้ทำกัน 10 ท่า เริ่มจากทำท่าเหล่านี้ท่าละ 10 ครั้ง ต่อวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ ท่าที่ 1 ![]() ท่าที่ 2 ![]() ท่าที่ 3 ![]() ท่าที่ 4 ![]() ท่าที่ 5 ![]() ท่าที่ 6 ![]() ท่าที่ 7 ![]() ท่าที่ 8 ![]() ท่าที่ 9 ![]() ท่าที่ 10 ![]()
7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ
หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน... |
ขอบคุณที่มา : เลดี้ทริป
ผิวแห้ง ดูแล..อย่างไร

การมีผิวแห้งอาจทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจ บางคนมีผิวแห้งตั้งแต่กำเนิด ในขณะที่หลายคนอาจประสบปัญหาหิวแห้งที่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม อาการผิวแห้งจะเกิดได้เร็วขึ้นหากผิวไม่ได้รับความชุ่มชื้น
คนที่มีอาการผิวแห้งที่เกิดจากการได้รับแสงแดดมากจนเกินไป หรือมีผิวหยาบกระด้างที่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป การอยู่ในห้องที่มีเครื่องให้ความร้อนหรือความเย็น หรือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการใช้สบู่ทำความสะอาดผิวหน้า หรือการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ในการบำรุงผิว ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการผิวแห้งได้
สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผิวแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ที่มีความอ่อนโยนมากกว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย ตามด้วยผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขน และมอยเจอร์ไรเซอร์ จากนั้นนวดด้วยน้ำมันสำหรับผิวหน้าและผิวกาย หรือทาน้ำมันโอลีฟ หรือน้ำมันอัลมอนด์ก่อนอาบน้ำ ซึ่งควรอาบด้วยน้ำอุ่น และทาโลชั่นบำรุงผิวทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ ที่ขาดไม่ได้คือ การทาครีมกันแดดหากต้องออกจากบ้าน
"น้ำผึ้ง" ถือเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีอย่างหนึ่งคือ ซึ่งเป็นสารที่ได้จากธรรมชาติ ผู้มีปัญหาผิวแห้งควรใช้น้ำผึ้งทาบริเวณผิวหน้าและผิวกายเป็นประจำ โดยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยล้างออก นอกจากยังอาจใช้ไข่ดิบ กล้วยหรือสตรอเบอร์รีในการมาร์คหน้า จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าได้เช่นกัน
ผู้ที่มีผิวแห้งควรมีการดูแลบำรุงผิวเป็นพิเศษ เช่น การใช้ครีมรอบดวงตา และการใช้ครีมในช่วงกลางคืน ที่มีส่วนผสมของน้ำมันเข้มข้น เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า
นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานถั่ว ผักและผลไม้ สามารถช่วยป้องกันการเกิดผิวแห้งและริ้วรอยก่อนวัยได้ เช่น การรับประทานกระเทียม แครอท ไข่ นม ผู้มีผิวแห้งควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
ที่มา :kapook.com
เคล็ดลับเพื่อ ..หุ่นสวย

สำหรับสาว ๆ ที่ดูแลรูปร่าง ให้สมส่วนอยู่เสมอ และรักสุขภาพ วันนี้เรามีเคล็ดลับเด็ด ๆ เพื่อหุ่นสวย และวิธีง่าย ๆ มาฝากค่ะ...
การซับน้ำมันออกจากอาหาร
การซับน้ำมันส่วนเกินออกจากอาหาร ก่อนรับประทาน เป็นวิธีง่าย ๆ ในการลดแคลอรี่ส่วนเกิน น้ำมันส่วนนี้ เป็นไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลยค่ะ อีกทั้งอาจเข้าไปอุดตันในหลอดเลือด แต่การซับน้ำมันออกจากอาหารนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ปริมาณที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่า อาหารที่เรารับประทานนั้น มันเยิ้มแค่ไหนนะคะ สมมติว่าเราซับน้ำมันออกมาได้ถึง 1 ช้อนชา นั่นก็หมายความว่า เพื่อน ๆ สามารถลดพลังงานไปได้ 40 แคลอรี่ และไขมันอีก 4-5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากเลยค่ะ
ฉะนั้น การซับน้ำมันออกจากอาหาร ก็ใช่ว่า จะทำให้อาหารที่มีไขมันเพียบ กลายเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำลงไปทันที ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรี่สูง ๆ ไว้ก่อนดีกว่านะคะ ดีกว่าจะมานั่งซับมันออกเพื่อทำให้รูปร่างดี
อย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า
การทำตัวให้คล่องแคล่ว เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น อย่างได้ผลนะคะ ในขณะทำงาน แทนที่จะใช้โทรศัพท์ภายในติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน ควรจะลุกขึ้นและเดินไปหาเขาแทน เมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อน ๆ อยากจะคุยกับเขานะคะ ถ้าอยู่ที่ยิมฯ อย่ายืนเฉย และปล่อยให้เวลาผ่านไป ขณะรอคิวเครื่องออกกำลังกาย หรืออะไรก็ตาม กระโดดตบ หรือวิ่งอยู่กับที่ไปพลาง ๆ จะเป็นการวอร์มอัพที่ดีค่ะ
เวลาหยิบของพยายามย่อให้สุด เวลาที่ย่อหยิบของจากพื้น ไม่ว่าจะเป็นตอนไปเดินช้อปปิ้ง หรือที่ไหนก็ตาม ทุกครั้งที่เราย่อ จะให้กล้ามเนื้อได้ยืดหยุ่นนะคะ
ออกกำลังกายตอนไหนดี
การออกกำลังกายช่วงเย็นหรือช่วงเช้า อย่างไหนจะทำให้ผอมเร็วกว่ากัน เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินคนเถียงกัน เรื่องนี้มาบ้างแล้วนะคะ บางคนบอกว่า การออกกำลังกายในช่วงเช้า ก่อนอาหารเช้า จะช่วยให้เผาผลาญไขมันได้มากกว่า เพราะร่างกายจนเปลี่ยนไขมันที่เก็บสำรองไว้ให้เป็นพลังงานด้วย แต่ก็มีบางคนบอกว่า การออกกำลังกายให้เหงื่อออกช่วงเย็นนั้นดีกว่า เพราะทั้งวันที่ผ่านมากล้ามเนื้อของเราได้วอร์มเต็มที่ พร้อมกับการออกกำลังกายแล้ว
แต่ความจริงแล้ว มันไม่สำคัญหรอกค่ะ สำหรับชีวิต ที่แสนจะวุ่นวายในยุคนี้ พ.ศ. นี้ สิ่งสำคัญก็คือ การหาเวลาสะดวกที่เพื่อน ๆ จะได้ออกกำลังกายอย่างจริง ๆ จัง ๆ และทุ่มเทได้เต็มที่ จะได้ผลที่ดีกว่านะคะ
จาก สยามดารา
ที่มา : kapook.com
ชาวโอกินาวามีคำพูดติดปากเสมอว่า “กินอาหารเป็นยา” จึงต้องคิดให้รอบคอบก่อนกิน ไม่ตามใจปาก ไม่งดกินโน่นกินนี่ แต่ละเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนอย่างเหมาะสมในแต่ละมื้อ ชาวโอกินาวามีวัฒนธรรมการกินอาหารเกือบอิ่มหรือที่เรียกว่า ฮาราฮาชิบุ คือ กินประมาณ 4 ใน 5 ส่วน ของท้องหรือประมาณ 1,800 กิโลแคลอรี่ (เทียบกับชาวตะวันตกโดยทั่วไปบริโภควันละ 2,500 กิโลแคลอรี) ซึ่งพอนั่งสักครู่จะรู้สึกอิ่มโดยธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารไม่ทำงานหนักเกินไป
หนังสือพิมพ์ข่าวสด คอลัมน์การตลาด
กินไปนับไป ไม่มีอ้วน
สาวๆ นักหม่ำอาจจะทำใจยากที่ต้องพรากจากของกินสุดโปรดเพื่อแลกกับบอดี้งามๆ แต่ถ้าคุณกินไปนับแคลอรีไปด้วย คุณก็จะจำกัดปริมาณเองได้ว่าควรจะกินเท่าไร เป็นการพบกันครึ่งทางแบบถนอมน้ำใจตัวเอง และไม่ต้องเสียหุ่นเพรียวไปด้วย
ช็อกโกแลต ขนมที่สาวๆ ขาดไม่ได้ก้อนนี้ ให้พลังงาน 135 แคลอรีต่อชิ้น ทีนี้เวลาจะกินนับด้วยนะว่าเคี้ยวไปกี่ชิ้น อ้วนไปกี่ขีด..
เค้ก นี่ก็สุดยอดของโปรดของสาวๆ อีกเช่นกัน เค้กก้อนหนึ่งให้พลังงาน 235แคลอรี วันเกิดแต่ละปีอ้วนขึ้นไปกี่โล เดากันเอาเอง
ไอศกรีม เห็นเย็นๆ เนื้อเบาๆ อย่างนี้ ไอศกรีม 1 ถ้วยแฝงความอ้วนไว้ถึง300 แคลอรี นี่ล่ะสวยประหารของจริง
กล้วยบวชชี แม่ชีนางนี้มีพลังงานน้อยมาก กิน 5 ชิ้นจะให้พลังงานแค่ 152แคลอรีเท่านั้น แต่จะได้วิตามินจากกล้วยเพียบ
กล้วยแขก ถึงจะเป็นกล้วยเหมือนกันแต่ความอ้วนผิดกันลิบ สาวๆ ที่ชอบกินกล้วยแขกจึงต้องระวังปากกันให้ดีๆ เพราะกล้วยแขก 5 ชิ้นให้พลังงานสูงถึง 252แคลอรี กินเสร็จผลงานความตะกละจะไปโชว์ตัวอยู่ที่หน้าท้อง ให้โลกรู้ว่าไปทำอะไรมา
ขนมครก ถึงถ้วยจะเล็กแต่ความอ้วนไม่ได้เล็กไปด้วย 1 ถ้วยให้พลังงาน 92แคลอรี แต่เวลากินใครล่ะจะกินแค่ถ้วยเดียว
น้ำส้มคั้น น้ำนางเอกแก้วนี้เธอแอ๊บแบ๊วพลังงานไว้ที่ 160 แคลอรีต่อแก้ว โปรดคิดให้ดีก่อนจะหลงเชื่อหน้าสวยๆ ใสซื่อ เราเตือนคุณแล้วนะ!
กาแฟ จำนวนแคลอรีของกาแฟแก้วนี้ขึ้นอยู่กับคนชง ถ้าใส่น้ำตาล 2 ช้อนชา ครีมเทียมอีก 2 ช้อนชา คุณจะได้พลังงานไปเต็มๆ 62 แคลอรี แต่ถ้ามือหนักกว่านี้ แคลอรีก็จะเพิ่มตามไปด้วย
ขนมปังขาว ถ้ากินแบบเพรียวๆ ไม่ได้ทาเนยคุณจะได้พลังงานแค่แผ่นละ 68แคลอรี ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด
น้ำอัดลม สาวกน้ำอัดลมโปรดทราบ น้ำอัดลม 1 แก้วให้พลังงาน 110แคลอรี วันหนึ่งคุณกินเข้าไปกี่แก้ว ..
เฉาก๊วย ถึงตัวจะดำแต่ใจดี เพราะเฉาก๊วยทั้งถ้วย มีพลังงานแค่ 18 แคลอรีเท่านั้น จะกินแก้ร้อน แก้เซ็ง หรือกินแก้เศร้า ก็ไม่ย้อนกลับมาทำให้เราช้ำใจ
นมสด นมสดธรรมดาครึ่งถ้วยตวงให้พลังงานถึง 150 แคลอรี นักดื่มนมเพื่อสุขภาพ คงต้องเปลี่ยนมาดื่มนมพร่องมันเนยกันแล้วล่ะ จะได้สุขภาพดีไม่มีไขมัน












ขอบคุณเนื้อหาที่มาจาก spicy
กินแบบ โอกินาวา
กินแบบ โอกินาวา
กินแบบโอกินาวา ชาวโอกินาวาของญี่ปุ่นได้ชื่อว่าอายุยืนมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเพราะอาหาร พวกเขากินอย่างไรจึงอายุยืนยาว คอลัมน์ “Wellbeing & Health” นิตยสาร “โมเดิร์น มัม” ฉบับ ก.ค. รวบรวมไว้ดังนี้
ชาวโอกินาวามีคำพูดติดปากเสมอว่า “กินอาหารเป็นยา” จึงต้องคิดให้รอบคอบก่อนกิน ไม่ตามใจปาก ไม่งดกินโน่นกินนี่ แต่ละเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนอย่างเหมาะสมในแต่ละมื้อ ชาวโอกินาวามีวัฒนธรรมการกินอาหารเกือบอิ่มหรือที่เรียกว่า ฮาราฮาชิบุ คือ กินประมาณ 4 ใน 5 ส่วน ของท้องหรือประมาณ 1,800 กิโลแคลอรี่ (เทียบกับชาวตะวันตกโดยทั่วไปบริโภควันละ 2,500 กิโลแคลอรี) ซึ่งพอนั่งสักครู่จะรู้สึกอิ่มโดยธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารไม่ทำงานหนักเกินไป
ชาวโอกินาวากินข้าวแต่ละคำช้า ๆ เคี้ยวนาน ๆ ทำให้รับรู้รสชาติอาหารได้ดีและช่วยให้ไม่กินมากเกินไปลดการกินไขมันแทนการลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่อ่อนล้าง่าย อาหารแต่ละมื้อมีวิตามินอีมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อสมองจึงเป็นโรคเบาหวานและอัลไซเมอร์กันน้อยมาก
อาหารที่ชาวโอกินาวากินมีพืชผักสมุนไพร 7 ส่วนเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ เช่น ขมิ้น สะระแหน่ งา พริก พริกไทย เป็นต้น ชาวโอกินาวากินเกลือน้อยมาก วันละไม่ถึง 3 ช้อนชา ช่วยลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ดี กินมิโซะก่อนกินอาหารทุกมื้อ ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้กินอาหารอย่างอื่นได้ไม่มากและไม่อ้วน
หนังสือพิมพ์ข่าวสด คอลัมน์การตลาด