สลิมแพค

welcome to change4slim ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ท่านสามารถสอบถามขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ครับ จะสมัครสมาชิกหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ติดตามข่าวสารอัพเดทใหม่ๆกับเราที่นี่ หรือโทร.083-070-7399 เปิดให้ชำระผ่าน ธ.กรุงไทย ได้แล้ววันนี้

เคล็ด(ลับ)หุ่นดี



การคำนวณค่า BMI
รายละเอียด :
 คำนวณหาค่า BMI วัดความอ้วน เพื่อประเมินหาไขมันส่วนเกินในร่างกาย เพื่อคำนวณความเสี่ยงในการเป็นโรค

ข้อมูลเพิ่มเติม : Body Mass Index (BMI) คือ ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว / ความสูง ยกกำลังสอง

ความสำคัญของการรู้ค่าดัชนีมวลร่างกาย เพื่อประเมินหาส่วนไขมันในร่างกาย ซึ่งค่าดังกล่าวนิยมใช้ในการคำนวณอย่าง แพร่หลาย เนื่องจากคำนวณง่าย และสามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติ

ประโยชน์ใช้เพื่อดูอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ถ้าค่าที่คำนวนได้ มากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้าเป็นโรคอ้วนแล้ว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคนิ่วในถุงน้ำดี แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ผอมเกินไป ก็จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง ดังนั้นควรรักษาระดับน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
....................................................................................................................................
สาวคนไหนที่อยากแต่งหน้าแนวแอ๊บแบ๊ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเทคนิคมาบอก

- ก่อนแต่งหน้าควรทามอยซ์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้าทุกครั้ง ทิ้งไว้ 10 นาทีให้ครีมบำรุงซึมซาบเข้าสู่ผิวก่อนจะเริ่มแต่งหน้า

- ทาแป้งฝุ่นอัดแข็งเนื้อบางเบา โดยเลือกเนื้อแป้งที่สีกลมกลืนกับผิว อย่าพยายามใช้โทนสีขาวที่อ่อนกว่าผิวจริงมาก เพราะจะทำให้หน้าวอก

- ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีชมพูหรือสีพีช โดยเน้นปัดที่โหนกแก้ม ไล้จากขอบหน้ามาถึงประมาณกลางลูกตาดำ แล้วปัดวนเป็นวงกลมๆ จะช่วยให้ใบหน้าดูมีเลือดฝาด สุขภาพดี มีเสน่ห์ น่าหอม

- ทาอายชาโดว์สีน้ำตาลอ่อนเมทาลิคหรือสีเบจเป็นสีพื้นให้ทั่วเปลือกตา

- เขียนขอบตาให้คมชัด โดยใช้ดินสอเขียนขอบตาสีน้ำตาลหรือดำ วาดจากหัวตาไปจนถึงหางตา แล้วตวัดปลายชี้ขึ้นเล็กน้อย

- ดัดขนตา ซึ่งต้องดัดตั้งแต่โคนขนตาขึ้นไปกลางขนตา และก็ดัดที่ปลายขนตา แล้วปัดมาสคาร่าชนิดเพิ่มความหนาและความยาว

- ทาริมฝีปากด้วยลิปปาล์มเพิ่มความชุ่มชื้น แล้วทับด้วยลิปกลอสหรือลิปเจลสีชมพูอ่อนๆ

เพียงเท่านี้ก็สามารถแต่งหน้าออกมาในแบบแอ๊บแบ๊ว น่ารักได้แล้ว.








ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



10 ท่าเพื่อหุ่นสวย


สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ
และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...

1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง

บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีบริหารสะโพกให้ลดลง


ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิก การวิ่ง ปั่นจักรยาน การบริหารเฉพาะส่วน ฯลฯ เป็นวิธีที่ช่วยให้สะโพกสวย แน่น และกระชับมากขึ้น คนอ้วน หรือผอมก็สามารถใช้วิธีนี้ได้
ควบคุมอาหาร แต่ไม่ใช่อดอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์มากกว่ารับประทานตามใจปาก ควรทานให้ครบทั้ง 3 มื้อ และหยุดทันทีถ้ารู้สึกอิ่ม ลดอาหารจำพวกที่ให้พลังงานสูง และอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด ควรดื่มนมที่พร่องมันเนย ของขบเคี้ยว ให้เลือกทานประเภทพืชเปลือกแข็งแทน เช่น ถั่ว เม็ดแตงโม ฯลฯ

การนวดมีประโยชน์มากกับขาช่วงต้นขาด้านบน ด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะช่วงต่อจากก้นลงมา เพราะถ้าบริเวณนี้มีไขมันมากจะทำให้สะโพกห้อยและย้อยได้ นอกจากนี้การนวดยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งกำจัดของเสียและไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังด้วย สำหรับการนวดที่ดีคือ ให้ใช้ครีมที่ใช้ขจัดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนวด ควรเป็นตอนก่อนนอน หลังอาบน้ำในตอนเช้า หรือก่อนทานอาหารหนึ่งชั่วโมง ควรใช้ครีมนวดติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ถ้าใช้ ๆ หยุด ๆ จะไม่เห็นผล และหยุดใช้ครีมนวดทันทีถ้าเกิดอาการแพ้

การขัดผิว จะช่วยในเรื่องของการแตกลาย จุดด่างดำ ผดผื่นแดง และรอยหยาบกร้านให้หมดไป สามารถขัดผิวได้ด้วยตัวเองโดยใช้น้ำมันขัดผิวที่ทำขึ้นเองแบบง่าย ๆ และประหยัด โดยนำเกลือเม็ดใส่ลงในขวด กะปริมาณตามที่ต้องการใช้ จากนั้นเติมน้ำมันมะกอกลงไป สังเกตุให้เกลือดูดซึมน้ำมันจนหมดอย่าให้แห้ง หรือเปียกเกินไป เติมน้ำหอมกลิ่นที่ชอบลงไปสัก 2-3 หยด จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะที่ขัดผิวให้ขัดเป็นวงกลมในบริเวณที่เกิดรอยหยาบกร้าน
ถ้าอยากมีสะโพกที่ดูดี ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
































5 วิธีกำจัดเซลลูไลท์





สาว ๆ ไม่น้อยคงกังวลเรื่องเซลลูไลท์และอยากกำจัดมันออกไปให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำได้ยังไง จนพอมีไขมันส่วนเกินเมื่อไหร่ คลินิกลดความอ้วนก็แว้บเข้ามาอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้วการกำจัดเซลลูไลท์นั้นทำได้ไม่ยากหรอกค่ะ แค่เลี่ยงพฤติกรรมที่ทำในแต่ละวันบางอย่างไปบ้าง พร้อมกับใส่ใจกับเรื่องไขมันส่วนเกินอย่างแท้จริงก็พอ
วันนี้ก็เลยมีวิธีกำจัดเซลลูไลท์ ให้สาว ๆ ได้เอากลับไปใช้กัน ลองไปดูกันว่าคุณสามารถกำจัดเซลลูไลท์ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง



1. ดื่มน้ำเยอะ ๆ 

น้ำ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ ระบบขับถ่าย หรือแม้แต่เรื่องของเซลลูไลท์เองก็ด้วย เพราะช่วยในการกำจัดเซลลูไลท์ได้เหมือนกัน แต่ต้องดื่มน้ำควบคู่ไปกับการลดปริมาณเกลือที่บริโภคในแต่ละวันด้วยนะคะ
2. จำกัดปริมาณแคลอรี่ 

โดย กินอาหารให้ได้วันละไม่เกิน 1400 แคลอรี เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย ในการรับอาหารปริมาณเท่า ๆ กันในแต่ละวัน เพียงเท่านี้เซลลูไลท์ของคุณก็จะหายไปในเวลาไม่กี่สัปดาห์อย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมทั้งได้สุขภาพที่ดีเป็นของแถมด้วยแน่ะ

3. ทานอาหารที่มีประโยชน์ 

เวลา ที่คุณน้ำหนักขึ้น อย่างดอาหารที่ให้พลังงานสูงไปซะหมด แต่ให้เน้นประโยชน์ของมันแล้วทานแต่พอเหมาะ โดยทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย นอกจากนี้ อาหารจำพวกโปรตีนอย่างไข่ ที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อก็จำเป็นกับคุณด้วย รวมถึงปลา ถั่วต่าง ๆ และน้ำมันที่สกัดจากพืชก็เป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ควรขาดเช่นกันค่ะ

4. ลดระดับเอสโตรเจนในร่างกาย 

ฮอร์โมน ของผู้หญิงนั้นมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเซลลูไลท์ เพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วยเก็บน้ำและเร่งการผลิตเซลล์ไขมัน ดังนั้น เอสโตรเจนในร่างกายจึงไม่ควรมีระดับที่สูงเกินไป ซึ่งการรักษาระดับเอสโตรเจนให้คงที่นั้น ก็คือการรับประทานผักอย่างบร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี หรือถั่วงอก

5. งดสูบบุหรี่ 

บุหรี่ ไม่เพียงแต่จะส่งผลร้ายต่อปอดแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย คุณรู้หรือไม่ว่าบุหรี่จะไปทำลายการนำวิตามิน C ในร่างกายไปใช้ และทำลายการสร้างคอลลาเจนในผิวอีกด้วย และแน่นอน มันทำให้เซลลูไลท์เพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะ



























ที่มา : kapook




10 ท่าบริหาร ช่วย ลดพุง


  วันนี้มีท่าในการลดพุงของคุณมาให้ทำกัน 10 ท่า เริ่มจากทำท่าเหล่านี้ท่าละ 10 ครั้ง ต่อวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ

ท่าที่ 1


ท่าที่ 2

ท่าที่ 3

ท่าที่ 4

ท่าที่ 5

ท่าที่ 6


ท่าที่ 7

ท่าที่ 8

ท่าที่ 9

ท่าที่ 10
ขอบคุณที่มา : เลดี้ทริป



7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ



หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ
แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)
วิธีการ
 : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)
วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
วิธีการ
 : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)
วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)
วิธีการ
 : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)
วิธีการ
 : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...
ขอบคุณที่มา : เลดี้ทริป

ผิวแห้ง ดูแล..อย่างไร

การมีผิวแห้งอาจทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจ บางคนมีผิวแห้งตั้งแต่กำเนิด ในขณะที่หลายคนอาจประสบปัญหาหิวแห้งที่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม อาการผิวแห้งจะเกิดได้เร็วขึ้นหากผิวไม่ได้รับความชุ่มชื้น
คนที่มีอาการผิวแห้งที่เกิดจากการได้รับแสงแดดมากจนเกินไป หรือมีผิวหยาบกระด้างที่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป การอยู่ในห้องที่มีเครื่องให้ความร้อนหรือความเย็น หรือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการใช้สบู่ทำความสะอาดผิวหน้า หรือการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ในการบำรุงผิว ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการผิวแห้งได้
สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผิวแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ที่มีความอ่อนโยนมากกว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย ตามด้วยผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขน และมอยเจอร์ไรเซอร์ จากนั้นนวดด้วยน้ำมันสำหรับผิวหน้าและผิวกาย หรือทาน้ำมันโอลีฟ หรือน้ำมันอัลมอนด์ก่อนอาบน้ำ ซึ่งควรอาบด้วยน้ำอุ่น และทาโลชั่นบำรุงผิวทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ ที่ขาดไม่ได้คือ การทาครีมกันแดดหากต้องออกจากบ้าน
"น้ำผึ้ง" ถือเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีอย่างหนึ่งคือ ซึ่งเป็นสารที่ได้จากธรรมชาติ ผู้มีปัญหาผิวแห้งควรใช้น้ำผึ้งทาบริเวณผิวหน้าและผิวกายเป็นประจำ โดยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยล้างออก นอกจากยังอาจใช้ไข่ดิบ กล้วยหรือสตรอเบอร์รีในการมาร์คหน้า จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าได้เช่นกัน
ผู้ที่มีผิวแห้งควรมีการดูแลบำรุงผิวเป็นพิเศษ เช่น การใช้ครีมรอบดวงตา และการใช้ครีมในช่วงกลางคืน ที่มีส่วนผสมของน้ำมันเข้มข้น เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า
นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานถั่ว ผักและผลไม้ สามารถช่วยป้องกันการเกิดผิวแห้งและริ้วรอยก่อนวัยได้ เช่น การรับประทานกระเทียม แครอท ไข่ นม ผู้มีผิวแห้งควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
ที่มา :kapook.com
เคล็ดลับเพื่อ ..หุ่นสวย
สำหรับสาว ๆ ที่ดูแลรูปร่าง ให้สมส่วนอยู่เสมอ และรักสุขภาพ วันนี้เรามีเคล็ดลับเด็ด ๆ เพื่อหุ่นสวย และวิธีง่าย ๆ มาฝากค่ะ...
การซับน้ำมันออกจากอาหาร
การซับน้ำมันส่วนเกินออกจากอาหาร ก่อนรับประทาน เป็นวิธีง่าย ๆ ในการลดแคลอรี่ส่วนเกิน น้ำมันส่วนนี้ เป็นไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลยค่ะ อีกทั้งอาจเข้าไปอุดตันในหลอดเลือด แต่การซับน้ำมันออกจากอาหารนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ปริมาณที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่า อาหารที่เรารับประทานนั้น มันเยิ้มแค่ไหนนะคะ สมมติว่าเราซับน้ำมันออกมาได้ถึง 1 ช้อนชา นั่นก็หมายความว่า เพื่อน ๆ สามารถลดพลังงานไปได้ 40 แคลอรี่ และไขมันอีก 4-5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากเลยค่ะ
ฉะนั้น การซับน้ำมันออกจากอาหาร ก็ใช่ว่า จะทำให้อาหารที่มีไขมันเพียบ กลายเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำลงไปทันที ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรี่สูง ๆ ไว้ก่อนดีกว่านะคะ ดีกว่าจะมานั่งซับมันออกเพื่อทำให้รูปร่างดี
อย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า
การทำตัวให้คล่องแคล่ว เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น อย่างได้ผลนะคะ ในขณะทำงาน แทนที่จะใช้โทรศัพท์ภายในติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน ควรจะลุกขึ้นและเดินไปหาเขาแทน เมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อน ๆ อยากจะคุยกับเขานะคะ ถ้าอยู่ที่ยิมฯ อย่ายืนเฉย และปล่อยให้เวลาผ่านไป ขณะรอคิวเครื่องออกกำลังกาย หรืออะไรก็ตาม กระโดดตบ หรือวิ่งอยู่กับที่ไปพลาง ๆ จะเป็นการวอร์มอัพที่ดีค่ะ
เวลาหยิบของพยายามย่อให้สุด เวลาที่ย่อหยิบของจากพื้น ไม่ว่าจะเป็นตอนไปเดินช้อปปิ้ง หรือที่ไหนก็ตาม ทุกครั้งที่เราย่อ จะให้กล้ามเนื้อได้ยืดหยุ่นนะคะ
ออกกำลังกายตอนไหนดี
การออกกำลังกายช่วงเย็นหรือช่วงเช้า อย่างไหนจะทำให้ผอมเร็วกว่ากัน เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินคนเถียงกัน เรื่องนี้มาบ้างแล้วนะคะ บางคนบอกว่า การออกกำลังกายในช่วงเช้า ก่อนอาหารเช้า จะช่วยให้เผาผลาญไขมันได้มากกว่า เพราะร่างกายจนเปลี่ยนไขมันที่เก็บสำรองไว้ให้เป็นพลังงานด้วย แต่ก็มีบางคนบอกว่า การออกกำลังกายให้เหงื่อออกช่วงเย็นนั้นดีกว่า เพราะทั้งวันที่ผ่านมากล้ามเนื้อของเราได้วอร์มเต็มที่ พร้อมกับการออกกำลังกายแล้ว
แต่ความจริงแล้ว มันไม่สำคัญหรอกค่ะ สำหรับชีวิต ที่แสนจะวุ่นวายในยุคนี้ พ.ศ. นี้ สิ่งสำคัญก็คือ การหาเวลาสะดวกที่เพื่อน ๆ จะได้ออกกำลังกายอย่างจริง ๆ จัง ๆ และทุ่มเทได้เต็มที่ จะได้ผลที่ดีกว่านะคะ

จาก สยามดารา
ที่มา : kapook.com


กินไปนับไป ไม่มีอ้วน
สาวๆ นักหม่ำอาจจะทำใจยากที่ต้องพรากจากของกินสุดโปรดเพื่อแลกกับบอดี้งามๆ แต่ถ้าคุณกินไปนับแคลอรีไปด้วย คุณก็จะจำกัดปริมาณเองได้ว่าควรจะกินเท่าไร เป็นการพบกันครึ่งทางแบบถนอมน้ำใจตัวเอง และไม่ต้องเสียหุ่นเพรียวไปด้วย

    ช็อกโกแลต ขนมที่สาวๆ ขาดไม่ได้ก้อนนี้ ให้พลังงาน 135 แคลอรีต่อชิ้น ทีนี้เวลาจะกินนับด้วยนะว่าเคี้ยวไปกี่ชิ้น อ้วนไปกี่ขีด..     เค้ก นี่ก็สุดยอดของโปรดของสาวๆ อีกเช่นกัน เค้กก้อนหนึ่งให้พลังงาน 235แคลอรี วันเกิดแต่ละปีอ้วนขึ้นไปกี่โล เดากันเอาเอง    ไอศกรีม เห็นเย็นๆ เนื้อเบาๆ อย่างนี้ ไอศกรีม ถ้วยแฝงความอ้วนไว้ถึง300 แคลอรี นี่ล่ะสวยประหารของจริง     กล้วยบวชชี แม่ชีนางนี้มีพลังงานน้อยมาก กิน ชิ้นจะให้พลังงานแค่ 152แคลอรีเท่านั้น แต่จะได้วิตามินจากกล้วยเพียบ     กล้วยแขก ถึงจะเป็นกล้วยเหมือนกันแต่ความอ้วนผิดกันลิบ สาวๆ ที่ชอบกินกล้วยแขกจึงต้องระวังปากกันให้ดีๆ เพราะกล้วยแขก ชิ้นให้พลังงานสูงถึง 252แคลอรี กินเสร็จผลงานความตะกละจะไปโชว์ตัวอยู่ที่หน้าท้อง ให้โลกรู้ว่าไปทำอะไรมา     ขนมครก ถึงถ้วยจะเล็กแต่ความอ้วนไม่ได้เล็กไปด้วย ถ้วยให้พลังงาน 92แคลอรี แต่เวลากินใครล่ะจะกินแค่ถ้วยเดียว
    
น้ำส้มคั้น น้ำนางเอกแก้วนี้เธอแอ๊บแบ๊วพลังงานไว้ที่ 160 แคลอรีต่อแก้ว โปรดคิดให้ดีก่อนจะหลงเชื่อหน้าสวยๆ ใสซื่อ เราเตือนคุณแล้วนะ!
    
กาแฟ จำนวนแคลอรีของกาแฟแก้วนี้ขึ้นอยู่กับคนชง ถ้าใส่น้ำตาล ช้อนชา ครีมเทียมอีก ช้อนชา คุณจะได้พลังงานไปเต็มๆ 62 แคลอรี แต่ถ้ามือหนักกว่านี้ แคลอรีก็จะเพิ่มตามไปด้วย    ขนมปังขาว ถ้ากินแบบเพรียวๆ ไม่ได้ทาเนยคุณจะได้พลังงานแค่แผ่นละ 68แคลอรี ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด    น้ำอัดลม สาวกน้ำอัดลมโปรดทราบ น้ำอัดลม แก้วให้พลังงาน 110แคลอรี วันหนึ่งคุณกินเข้าไปกี่แก้ว ..    เฉาก๊วย ถึงตัวจะดำแต่ใจดี เพราะเฉาก๊วยทั้งถ้วย มีพลังงานแค่ 18 แคลอรีเท่านั้น จะกินแก้ร้อน แก้เซ็ง หรือกินแก้เศร้า ก็ไม่ย้อนกลับมาทำให้เราช้ำใจ    นมสด นมสดธรรมดาครึ่งถ้วยตวงให้พลังงานถึง 150 แคลอรี นักดื่มนมเพื่อสุขภาพ คงต้องเปลี่ยนมาดื่มนมพร่องมันเนยกันแล้วล่ะ จะได้สุขภาพดีไม่มีไขมัน
ขอบคุณเนื้อหาที่มาจาก spicy




                                               กินแบบ โอกินาวา


  กินแบบโอกินาวา  ชาวโอกินาวาของญี่ปุ่นได้ชื่อว่าอายุยืนมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเพราะอาหาร พวกเขากินอย่างไรจึงอายุยืนยาว คอลัมน์ “Wellbeing & Health” นิตยสาร “โมเดิร์น มัม” ฉบับ ก.ค. รวบรวมไว้ดังนี้


       ชาวโอกินาวามีคำพูดติดปากเสมอว่า “กินอาหารเป็นยา” จึงต้องคิดให้รอบคอบก่อนกิน  ไม่ตามใจปาก ไม่งดกินโน่นกินนี่ แต่ละเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนอย่างเหมาะสมในแต่ละมื้อ ชาวโอกินาวามีวัฒนธรรมการกินอาหารเกือบอิ่มหรือที่เรียกว่า ฮาราฮาชิบุ คือ กินประมาณ  4 ใน 5 ส่วน ของท้องหรือประมาณ 1,800 กิโลแคลอรี่ (เทียบกับชาวตะวันตกโดยทั่วไปบริโภควันละ 2,500 กิโลแคลอรี) ซึ่งพอนั่งสักครู่จะรู้สึกอิ่มโดยธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารไม่ทำงานหนักเกินไป

        ชาวโอกินาวากินข้าวแต่ละคำช้า ๆ เคี้ยวนาน ๆ ทำให้รับรู้รสชาติอาหารได้ดีและช่วยให้ไม่กินมากเกินไปลดการกินไขมันแทนการลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่อ่อนล้าง่าย อาหารแต่ละมื้อมีวิตามินอีมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อสมองจึงเป็นโรคเบาหวานและอัลไซเมอร์กันน้อยมาก

         อาหารที่ชาวโอกินาวากินมีพืชผักสมุนไพร  7  ส่วนเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อ  ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ เช่น ขมิ้น สะระแหน่ งา พริก พริกไทย  เป็นต้น ชาวโอกินาวากินเกลือน้อยมาก วันละไม่ถึง  3  ช้อนชา  ช่วยลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ดี กินมิโซะก่อนกินอาหารทุกมื้อ ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้กินอาหารอย่างอื่นได้ไม่มากและไม่อ้วน


หนังสือพิมพ์ข่าวสด คอลัมน์การตลาด